วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551


はじまりのうた[Hajimeri no Uta] - SMAP

tokyo sonata หนังเค้าดีจิงน๊ะ

ในที่สุดก้อได้ไปดู Tokyo Sonata เสียทีหลังจากที่ติดสอบโน่นสอบนี่
จนคิดว่าอาจจะพลาดเรื่องนี้ซะเเล้ว ประกอบกับมีตัวเลือกอย่างอื่นอีกมากมาย
เเต่ก้อตัดใจเอาเรื่องนี้เเหละ เเม้ว่าจะไม่เคยดูหนังผลงานของคิโยชิ คุโรซาวะมาก่อน
เพราะว่ากลัวผีนั่นเอง +555+

Tokyo Sonata


ก้อได้ยินมาจากหลายๆที่เหมือนกันว่า หนังเอื่อยๆๆๆ ดูเเล้วหลับ เเต่ว่าฟังหูไว้หู
รสนิยมคนเราไม่เหมือนกัน พอเข้าไปดูเเล้ว ก้อรู้สึกเอื่อยๆจิงๆอะเเหละน๊ะ
ก้อมีเตรียมใจไว้บ้าง เเต่ใครที่สร้างอคติในใจไว้ลงก้อน่าเสียดายด้วยที่ตอนจบของเรื่องนี้
คม ลึก บาดใจเอาการอยู่ เราเองก้อไม่ใช่นักดูหนังตัวยงอะนะ
อีกทั้งไม่ใช่คนญี่ปุ่น จิงอาจไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเค้า
เรื่องราวในเรื่องก้อเป็นเรือ่งของครอบครัวๆหนึ่งในเมืองหลวงโตเกียว เมืองที่มีเเต่การเเข็งขัน
เเละดูโดดเดี่ยว เเสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่คนในครอบครัวนั้น พูดคุยกันน้อย
มีเรื่องปกปิดของตัวเอง เเละต่างโกหกซึ่งกันเเละกัน สะท้อนภาพเรือ่งราวของสังคมไม่ใช่เเค่ในญี่ปุ่น
เเต่น่าจะเป็นกันทั้งโลกได้อย่างดี ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจซึ่งกันเเละกัน เพราะการไม่ยอมเปิดอกคุยกันให้รู้เรื่อง


หัวหน้าครอบครัวตกงาน เเต่ไม่กล้าบอกคนในครอบครัวเเละโกหกไปวันๆอีกต่างหาก
(ทำให้รู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นที่ๆหางานได้ยากที่สุดในโลก)
ตัวคุณพ่อเองก้อเป็นคนที่กลัวเสียหน้า กลัวเสียอำนาจการปกครอง รับไม่ได้กับการตกงานเเล้วไม่ได้งานที่ดีเท่าเดิม
ต้องโกหกคนในครอบครัวไปวันๆ เเล้วก้อวางอำนาจกับลูกเพราะไม่ต้องการเสียการปกครอง

คุณเเม่ที่ไม่เคยทำตามความต้องการของตัวเอง ว่านอนสอนง่ายตามเเบบฉบับศรีภรรยาที่ดี รองรับอารมณ์ของสามีไม่เคยปริปากบ่น จนเก็บกดที่ไม่เคยทำอะไรให้ตัวเองมีความสุขซะที เเต่ดันไปเเอบเห็นสามีตกงานเเต่ก้อนิ่งเงียบ

ทั้งสองตัวละครนี้ เป็นตัวอย่างของสังคมเเบบตะวันออกโบราณเลย ที่สามีเป็นช้างเท้าหน้า วางตัวมีอำนาจเเละต้องรักษาหน้าตาตลอดเวลา เเละภรรยาที่เป็นช้างเท้าหลังปรนนิบัติสามี ไม่มีสิทธิ์มีเสียง

คุณลูกชายคนโตขี้เหงาจนต้องสมัครไปเป็นทหารให้อเมริการบกับตะวันออกกลาง เพื่อค้นหาความสันติสุขของโลกใบนี้

เเละคุณลูกชายคนเล๊กที่มีปัญหากับครูที่โรงเรียนเพราะการถูกลงโทษที่ไม่ยุติธรรม เเละใฝ่ฝันจะเล่นเปียโน เเต่ถูกพ่อสั่งห้าม เเม้จะมีพรสวรรค์อย่างมากมายล้นเหลือ

เนื้อเรื่องดูเเล้วทำให้ชวนอึดอัดกับสภาพครอบครัวเเบบนี้ ที่ดูจะบีบคั้นคนดูมากขึ้นเรือ่ยๆ
จนเเทบจะคิดในใจเเทนตัวละครเลยว่า "ทำไมต้องเกิดเรื่องเเบบนี้ด้วย" ที่ครอบครัวค่อยๆเเตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
(ถึงจะดูบีบคั้นเเค่ไหน ก้อรู้สึกติดใจกับคุณโจรที่มาปล้นที่ดูบ้าๆบอๆ ขัดๆกับอารมณ์หนังอยู่
เเต่เอาเถอะ ข้ามๆมันไปซะ)
จนถึงช่วงวิกฤติของหนัง ว่าเเต่ละคนเลือกที่จะเดินเส้นทางชีวิตของตัวเองอย่างไร
เเละเเล้ว....สุดท้ายเรื่องร้ายๆก้อจะผ่านพ้นไป
ได้ข้อคิดที่ดีเลยว่า ก้อเเค่เเต่ละคนปรับตัวเข้าหากัน ยอมรับในความเป็นจริงกันมากขึ้น พูดคุยกันมากขึ้นก้อเท่านั้นเอง
ซึ่งดูจะหาได้ยากเเล้วในสังคมปัจจุบันละเน้อ....
The image “http://dearcinema.com/wp-content/uploads/2008/07/tokyo-sonata.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.
ชอบตอนจบของเรือ่งมากๆ ที่สุดท้ายลุกชายคนเล็กก้อได้ไปออดิชั่นโรงเรียนดุริยางคศิลป์ ด้วยเพลงที่เราโปรดปรานเอามากๆๆๆๆ คือ "clair de lune" ของ Claude Debbussy ซึ่งเป็นเพลงที่บรรยายถึงความงามของพระจันทร์ ...บลาๆๆๆๆ (ไว้คราวหน้าจะยกชุดเพลงคลาสสิคมาบรรยายเเล้วกัน) ฟังเเล้วท่วงทำนองไปในเชิงอ่อนนุ่มลึกลับ เเต่ฟังเเล้วเรารู้สึกเศร้าเเละความรักมากกว่า ตอนจบของหนังเรือ่งนี้จึงทำให้ต้องหลั่งน้ำตา พร้อมกับคุณพ่อที่มานั่งฟังคุณลูกเล่น โดยไม่ได้นัดหมาย นับว่าใช้เพลงๆนี้ได้อย่างมีคุณค่าจิงๆ (ไม่เหมือน twightlight ที่โผล่มาเเค่ 4 วินาที หลอกให้อยากเเล้วจากไป อุตส่าห์ตั้งใจจะฟัง...นอย!!!)

สุดท้ายเเล้วก้อเอา clair de lune มาฝากด้วยหวังว่าจะซาบซึ้งกับ classic นะจ๊ะ (เค้าบอกว่าฟังก่อนนอนเเล้วจะฝันดีเเหละ^^)

ป้ายกำกับ:

1 ความคิดเห็น:

Blogger P3aR--น้องหมา กล่าวว่า...

เสียตังฟรีเจงๆ
รุ้งี้ดู Australia ดีก่า
อุดส่าจาไปเสียน้ำตา
กลับไปบีบน้ำตาเเทน

30 ธันวาคม 2551 เวลา 08:08  

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก